Tuesday, January 16, 2007
ลองเริ่มใช้วิชาการวิเคราะห์หลักทรัพย์
ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2549 เป็นต้นมา ผมแทบไม่ได้ใช้ความรู้ในการวิเคราะห์หุ้นเลย ไม่ว่าจะเป็นทางการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์เชิงเทคนิค เพราะปัจจัยที่เข้ามากระทบเป็นปัจจัยที่คาดการณ์ยาก เป็นการตัดสินใจของคนเพียงกลุ่มเดียว ไม่มีทางคาดการณ์ได้ วันนี้เป็นวันแรกที่ทดลองเริ่มใช้ความรู้ เนื่องจากเห็นว่าตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะปรกติ ทั้งในด้านดัชนีราคา และปริมาณการซื้อขาย และเราเองก็คงจะเริ่มเคยชินกับข่าวลบกันบ้างแล้ว ในขณะนี้เรามีตลาดหุ้นที่มี Market P/E ที่ 7.48 มี Price per book ของทั้งตลาดที่ 1.52 เท่า และมีผลตอบแทนจากเงินปันผล หรือ Market yield ที่ 4.59% มีมูลค่าตลาดรวม หรือ Market Cop. จำนวน 4,674,000 ล้านบาท ถือว่าตลาดหุ้นไทย มีราคาถูกที่สุดในโลก เมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว เราก็พูดอย่างนี้ แปลว่า คำว่า ถูก ไม่สำคัญ เพราะมีถูกกว่า ปัจจัยในการเข้าซื้อหุ้นของนักลงทุนไม่เกี่ยวกับคำว่า ถูก และถ้ายิ่งนำเอากราฟราคาของตลาดหุ้นใกล้บ้านเรามาดู ต้องบอกว่าคนละเรื่อง เช่นที่อินโดนีเซีย ขึ้นแล้วขึ้นอีก ช่วงนี้อยู่ในช่วงการปรับฐาน สำหรับแนวโน้มข้างหน้า ในมุมมองทางด้านปัจจัยพื้นฐาน ถามว่ากำไรสุทธิที่จะประกาศ สำหรับปี 2549 ทั้งปี ที่กำลังจะทยอยออกมาในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ตัวเลขทั้งกลุ่มธนาคารและพลังงาน ยังมีตัวเลขที่ดี และอาจจะช่วยปลุกตลาดได้บ้าง หุ้นในกลุ่มธนาคารและพลังงาน เมื่อวานก็แสดงความแข็งแกร่งให้เห็นแล้วว่า พวกเขาพร้อมจะเป็นตัวนำตลาด ที่จะพาตลาดขึ้นในรอบต่อไป มีหรือเปล่ายังไม่ค่อยแน่ใจ เอาเป็นว่าถ้ามีก็แล้วกัน เมื่อวานผมเห็นหุ้นที่เป็นตัวนำตลาดอยู่ 5 ตัว ซึ่งถ้าเกิดภาวะ Panic Sale ในครั้งต่อไป ก็จะเป็นตัวเป้าหมายในการซื้อหุ้น หุ้น 5 ตัวที่ว่า คือ BBL, BAY, SCB, PTT และ PHATRA ดังนั้น ให้ถือว่า จากนี้ไปถ้าตลาดลงแรง ๆ ให้เก็บหุ้น 5 ตัวนี้ ส่วนราคาดูเอาเองในตลาด เพราะการลดลงในแต่ละรอบต่อจากนี้ จะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงเท่านั้น ต้องใช้ฝีมือกับดวงจึงจะได้ราคาที่ดี เทคนิเคิลช่วยไม่ได้ สำหรับกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ของปี 2550 ผมคิดของผมเองนะ ว่าทั้งกลุ่มธนาคารและพลังงาน ก็ยังสามารถคงตัวเลขใกล้เคียงกับปี 2549 แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องการเติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งราคาหุ้นตอนนี้ก็ไม่แพงเกินไป ที่จะเก็บเอาเงินปันผล ในส่วนภาพรวมของเศรษฐกิจ ตัวเลขเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับไม่เกิน 4% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยอมรับได้ ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลงในขณะนี้ อาจจะช่วยให้เงินเฟ้อโดยเฉลี่ยในปีนี้ต่ำกว่า 3% ก็ได้ นั่นหมายถึง อัตราดอกเบี้ยในปี 2550 ถ้าไม่ลดลงก็จะทรงตัว ถือเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลง เหลือประเด็นเดียว ที่จะรบกวนตลาดหุ้น ก็คือ ปัจจัยทางการเมือง ส่วนค่าเงินบาท ผมคิดว่า ขณะนี้ ธปท. สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เราจะไม่ได้ยินข่าวการโจมตีค่าเงินบาทไปอีกนาน การเมือง ผมกำลังกังวลเล็กน้อย ข่าวความวุ่นวายที่จะค่อย ๆ เริ่มก่อตัวขึ้น ยังสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดปี จนกว่ารัฐธรรมนูญจะร่างเสร็จ และมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่ก็ยังดูไม่ชัดเจน ดูไกลๆ ไม่เห็น ดูใกล้ก็เห็นว่า คมช. พยายามควบคุมสถานการณ์ให้ได้ และถ้าเป็นอย่างนั้นได้ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ เราก็จะคงเริ่มสบายใจ แต่ตอนนี้ อย่าเพิ่งวางใจ ผมสมมุตินะว่า ถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่สร้างความไม่สงบขึ้นอีกแล้ว Set Index จะเคลื่อนที่ไปอย่างไร ผมใช้การวิเคราะห์เชิงเทคนิคคาดการณ์ได้ว่า Set Index มีแนวต้านที่ 640-645 จุด ในสัปดาห์หน้า Set Index อาจจะถอยลงมาแถว 620-625 จุด และ Sideway สักพักหนึ่ง จากนั้นก็จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวขึ้นไปที่ 670 จุด ทำเป็นรูป Head and Shoulders โดยใช้เวลาประมาณ 1 เดือนขึ้นไป ดูข้อมูล Update ภาพ Set Index ทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้ที่ Nattawat.com
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment